เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูฝนตกนะ พอฝนตกสิ่งมีชีวิตมันงอกงามมาก พืชมันได้น้ำ เห็นไหม ชีวิตใหม่มันเกิดขึ้นมา แต่ชีวิตเราล่ะ? ชีวิตเรานี่เกิดมาตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ ชีวิตของเรานี่อยู่ไปวันๆ หนึ่งนะ เวลากิเลสตัณหามันบีบบี้สีไฟ มันอึดอัดขัดข้อง เวลากลางวันร้อนนี่นะ มันไม่รู้จะไปไหนเลย มันอึดอัดตัวมันเอง เห็นไหม

นี่เวลาชีวิตใหม่มันเกิดขึ้นมา แรกแย้มมันมีชีวิตชีวาไง แต่ชีวิตของเรานี่เรามีอยู่แล้ว ทำไมมันเศร้าสร้อยหงอยเหงาล่ะ? มันเศร้าสร้อยหงอยเหงาเพราะมันไม่มีที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“ขอให้มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด”

ธรรม เห็นไหม น้ำอมตธรรม น้ำอมฤตธรรม มันได้ชุบจิตใจของเรา จิตใจของเรา ร่างกายมันต้องแก่ชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา ร่างกายของเรามันจะแก่ชราคร่ำคร่า วัตถุสิ่งใดมันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แต่หัวใจมันมีอายุไหม? อายุ ๑๐๐ ปี ๑๐ ปี อายุแตกต่างกัน แต่ความรู้สึกทำไมผู้ใหญ่สื่อกับเด็กได้ ทำไมจิตนี้มันสื่อกับเทวดา อินทร์ พรหมได้?

จิตมันไม่มีอายุนะ มันอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เพียงแต่อายุขัยนี่มันเป็นอายุขัยเพราะเกิดในภพชาติ ในภพชาติหนึ่ง ภพชาติหนึ่งมันมีอายุขัยของมัน เพราะมันเป็นสมมุติใช่ไหม? แต่จิตตัวนี้มันเป็นสมมุติต่อเมื่อมันเกิด ถ้ามันเป็นสมมุติ มันเวียนตายเวียนเกิด แต่มันมีสถานะหนึ่งที่มันไม่เคยบุบสลาย มันไม่เคยย่อยสลายนะ

มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนะ แปดหมื่นปี กี่หมื่นปีก็แล้วแต่ หมดอายุขัยมันก็เวียนมาเกิดอีก มันตกนรกอเวจีขึ้นไป จะตกนรกอเวจีขนาดไหน ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่มันไม่หมดจากกรรมมันก็จะอยู่ดำรงชีวิตอย่างนั้นต่อไป พอหมดจากกรรมขึ้นมา มันใช้กรรมแล้วมันก็เวียนมา มันเวียนไปเวียนมาอย่างนี้แหละ เพราะอะไร? เพราะเราไม่เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงธรรมนะเรามีที่พึ่ง

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัยเถิด”

เราก็ตีความกันนะ ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัยเราก็จะหวังพึ่งธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นธรรม ธรรมชาติเป็นธรรม ไม่ได้คิดเลย การเกิดการดำรงชีวิตอยู่นี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติอย่างนี้ ธรรมชาติเวียนตายเวียนเกิดนะ แต่สัจธรรม อริยสัจที่มันเหนือธรรมชาติ ถ้ามันไม่เหนือธรรมชาติ มันควบคุมใจเราไม่ให้เกิดไม่ให้ตายได้อย่างไร?

เราว่าหวังพึ่งธรรมชาติๆ เพราะอะไร? เพราะวุฒิภาวะของเราไง นี่เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เราต้องพึ่งธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดในธรรมชาติ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาเราเสียสละขึ้นมานี่บอกว่าเราเสียเปรียบสังคม บอกว่าเราเป็นผู้โดนเอารัดเอาเปรียบ

ถ้าเราโดนฉ้อโกงนี่เราเสียเปรียบ แต่ถ้าเราเสียสละเราเสียเปรียบที่ไหน? เราเป็นผู้ที่ฉลาดใช่ไหม? เราเป็นผู้ที่มีกำลังของเรา เราเสียสละเพื่อให้ความร่มเย็นเป็นสุขในสังคม เราอยู่ในสังคม ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขเราก็มีความร่มเย็นเป็นสุขด้วย เห็นไหม นี่สังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ ก็มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ สังคมมีความขัดแย้ง สมณะ ชี พราหมณ์ จะนั่งหลับตาอยู่นี่ แล้วสังคมเป็นอย่างไรล่ะ?

สมณะ ชี พราหมณ์ นั่งหลับตา นี่หลับตาเผยแผ่ธรรม แผ่บารมีให้หัวใจของคน ให้หัวใจของสัตว์โลกที่มีความขัดแย้งให้มันลืมตาอ้าปาก คำว่าลืมตาอ้าปากคือหาเหตุหาผล ลืมตาอ้าปาก ธรรมะ สัจธรรมนี่มันเข้ามาถึงจิตใจเราแล้ว เราจะมีความเมตตา เราจะมีความให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามีความให้อภัยต่อกัน เห็นไหม ดูสิเวลาหมู่โจรเราจะให้อภัยต่อเขา เราก็ต้องมีข้อกติกาเพื่อจะให้เขากลับเป็นคนดี

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อการให้อภัย มันก็ให้อภัยจากใครล่ะ? ใครที่เขามีสัจจะ เขามีคุณงามความดี เราก็เจือจานเขา แต่ถ้าเขามีการฉ้อฉล เราก็ต้องมีข้อบังคับกับเขาขึ้นมา นี่การให้อภัย การเสียสละ ผู้ให้ต้องฉลาดนะ ถ้าผู้ให้ไม่เสียสละ ดูสิคนที่เขาจะบริจาค เห็นไหม เขาต้องซ่อนชื่อ ต้องแอบซ่อน ต้องทำ เพราะอะไร? เพราะถ้าเขาเสียสละ เขาให้นะ ทุกคนจะวิ่งไปพึ่งเขาหมดเลย

นี่มันเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่เราเป็นผู้ที่ฉลาด เห็นไหม ดูสิครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ในป่า ไม่มีใครรับรู้เลย ไม่มีใครเห็นด้วยเลย อยู่คนเดียวนะ เวลาท่านทำของท่านขึ้นมา เวลาท่านออกมาเผยแผ่ธรรม ทำไมเป็นครูของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม เป็นไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ทำคุณงามความดีของเรา เรามานั่งสมาธิภาวนาของเรา เพื่อเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรานะ เห็นไหม นี่โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูความสงบของใจฉันสิ ใจฉันมีความสงบนะ ใจฉันมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่นี้มันไม่มี มันมีแต่กิเลส เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูกิเลส พอมีกิเลสมันบีบบี้สีไฟเรา เราก็พาลทั่วไปหมดเลยนะ นี่ปฏิบัติแล้วก็ไม่ได้ สถานที่ก็ไม่ดี แดดก็ร้อน อู๋ย.. ยุ่งไปหมดเลย

การเกิดก็ไม่ดี เพราะมีการเกิดถึงมีการตาย เพราะการเกิดนี่ทำให้ทุกข์ เห็นไหม ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.. การเกิด เห็นไหม นี่โลกนี้มีเพราะมีเรา สรรพสิ่งมี นี่มีความขัดข้องหมองใจ มีความอัตคัดขาดแคลน มีความบีบบี้สีไฟในหัวใจ เพราะมีการเกิด มีสถานะ

การเกิด เห็นไหม ชาติปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง สิ่งต่างๆ พอมีการเกิด มีมรณะภัย มีโสกะ ปริเวทะ มีต่างๆ นี่มันมีเพราะมีการเกิด ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีความทุกข์ แล้วจะไม่เกิดได้อย่างไร? มันไม่เกิดไม่ได้หรอก จิตมันต้องขับเคลื่อนไปอย่างนี้โดยธรรมชาติของมัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือมันหรอก เว้นไว้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปกำจัด เข้าไปพิจารณา เข้าไปดูแลมัน

ดูแลนะ เอามันมาดูแลเหมือนเด็กเลย เด็กของเรา ลูกเราต้องดูแลให้ดี หัวใจของเรา เราต้องดูแลเอง ไปวัดไปวา ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ก็บอกวิธีการเท่านั้น เราจะต้องดูแลหัวใจของเรา เราต้องมีสติยับยั้งไม่ให้มันมีอำนาจเหนือเรา เราดูแลใจของเรา ถ้ามีสติยับยั้งมัน ยับยั้งไม่ให้กิเลสมันชักนำไป

แล้วดูแล ตั้งสติ ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบ เห็นไหม คนวิ่ง คนขวนขวายอยู่มันเห็นภาพไม่ชัด ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันจะเห็นภาพของมันชัด แล้วมันจะดูแลใจของมันได้ ถ้าหัวใจนี้มันดูแล นี่สิ่งนี้เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ถ้ามาดูธรรม มาดูธรรมที่เรา เราจะมีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย ธรรมนี้เกิดจากการกระทำ

กรรม เห็นไหม นี่กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ สิ่งที่มีกิเลส มีกรรม มีการกระทำ เราทำสิ่งที่ดี ผลที่ตอบสนองเป็นสิ่งที่ดี เห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ความดีที่ดีประเสริฐ เราว่าทำดีๆ ทุกคนนี่ทำบุญกุศล ทำดีหมดเลยทำไมไม่ได้ดี เราทำดีนี่เราทำดีแบบธุรกิจ เราทำดีนะมีผู้ตอบสนอง มีผู้ให้ ผู้รับใช่ไหม? แต่ความดีของเรา ดีในหัวใจ ดีเลิศ

หลวงปู่มั่นบอก “ดีที่ไม่มีโทษ ดีเลิศ ดีที่ไม่มีโทษเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

ดีของเรานี่ทำดีเพื่อดี ทำดีเพื่อเรา จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตสงบก็รู้ว่าจิตสงบ จิตที่มันมีความเข้าใจ มันมีที่พึ่งนะ พอมีที่พึ่ง ดูสิเวลาคนเรามีความสุข เรามองโลกนี้นะร่มเย็นเป็นสุขไปหมดเลย แต่เวลาจิตเราเร่าร้อนนะ เราจะอยู่ในสวนสาธารณะที่สวยงามขนาดไหน มันก็ดูขวางตาไปหมดเลย จิตของเราถ้าเรารักษาไว้ได้ จิตที่มันดีโดยไม่มีโทษ โลกนี้จะร่มเย็นเป็นสุขไปหมดเลย นี่ร่มเย็นเป็นสุขแล้วเข้าใจตามความเป็นจริง เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เวลาท่านจะไปปรินิพพาน นี่ฉันข้าวของนายจุนทะมื้อสุดท้ายแล้วเดินไปปรินิพพานนะ เห็นไหม เดินไปตาย คืนนี้เราจะไปตาย เดินไปตลอด เดินไปตาย พอขณะจะตาย สุภัททะมาถามปัญหา ทุกคนมาถามปัญหา นี่พวกกษัตริย์ออกมาเคารพบูชา เห็นไหม ทุกคนจะไต่ถาม

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วซากศพจะทำอย่างไร? ศพจะเผาที่ไหน? แล้วทำอย่างไร?”

“อานนท์ เธออย่าเดือดร้อนไปเลย ซากศพของเรานี่นะเป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ เป็นหน้าที่ของกษัตริย์เขา เขาจะจัดการ”

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?”

“ทำเหมือนจักรพรรดิเขาทำกัน เห็นไหม นี่เขาห่อด้วยผ้าขาว เขาเอารางเหล็กวางไว้แล้วเอาศพนั้นวางไว้ในรางเหล็กนั้น ใส่น้ำมันแล้วจุดไฟเผา”

นี่วิตกกังวล คนที่ไม่ตายวิตกกังวลไปหมดเลย แต่คนจะตายนอนเฉย.. บอกเขานะ ตายแล้วศพทำอย่างไร ตายแล้วเผาแล้วนะอัฐิแบ่งกันอย่างไร

นี่ไงจิตที่เอาไว้ดีแล้ว เห็นไหม จิตที่มีความสุข จิตที่มีความสงบในหัวใจ เพราะมันไม่มีอะไรตาย พอเราชำระกิเลสนี่กิเลสตายไปแล้ว พอกิเลสมันตายไปจากใจแล้วนะ เราอยู่ที่ไหนก็ได้มันเข้าใจไปหมด แล้วพอจิตที่มันดีแล้ว นี่เวลาเกิดขึ้นมา ร่างกายนี้ต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา แต่หัวใจที่มันเป็นธรรมนะ นี่มันรู้เท่า เจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลรักษา

เหมือนบ้าน เราอาศัยบ้านอยู่ใช่ไหม? บ้านรั่วเราก็ปะ บ้านที่ไหนมันชำรุดเราก็ซ่อมแซม ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็เอายารักษามัน นี่รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ทิ้งมันไป เห็นไหม เราอยู่อาศัยในบ้าน จิตเราออกจากบ้าน บ้านก็ทิ้งมันไป เวลาจิตออกจากกายนี้ กายนี้เหมือนบ้านก็ทิ้งมันไป นี่จิตที่มันชำระกิเลสแล้ว เห็นไหม ตั้งแต่วันสิ้นกิเลสแล้ว มันอยู่ด้วยกันแต่มันไม่มีสังโยชน์ร้อยรัด มันไม่มีการยึดมั่นถือมั่น อยู่ด้วยกันอาศัยกันไป

นี่เป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบ แต่ของเรามันเป็นมาร ขันธมารมันไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบ สรรพสิ่งก็เป็นของเรา ร่างกายก็เป็นของเรา ทุกอย่างมันยึดไปหมดไง เวลาตายนี่ตายไปพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นขนาดไหน ตายไปพร้อมกับความทุกข์ เพราะมีความยึดมั่นถือมั่นมันมีความทุกข์

ตายไปพร้อมกับความปล่อยวาง เห็นไหม เวลาพระอรหันต์ตาย กับปุถุชนตายมันต่างกันตรงนี้ ต่างกันที่ว่าพระอรหันต์ตาย เพราะว่ากิเลสมันตายแล้ว รู้เท่ากระบวนการของจิต รู้เท่ากระบวนการของการเกิดและการตาย รู้เท่ากระบวนการของมันหมดเลย ไม่มีสิ่งใดจะมาหลอกล่อได้ มันไปแบบสบายใจ ไปแบบอยู่ก็ได้ ไปก็ได้ตามธรรมชาติ

แต่ของเรามันยึดมั่นถือมั่น วิตกกังวล ความวิตกกังวลนี่เพราะสังโยชน์มันร้อยรัด ความตระหนี่ถี่เหนียว ความยึดมั่นถือมั่นมันร้อยรัด เห็นไหม ตายไปพร้อมกับความคับแค้นใจ ตายไปพร้อมกับความไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะตาย ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ตัว คนนอนหลับตายไป หัวใจวายตายไปพร้อมกับความไม่รู้ตัว

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ตายนะ สติกับจิตมันพร้อมกันตลอด เพราะการตายนี่จิตมันออกจากร่าง พอจิตออกจากร่าง จิตเคลื่อนที่.. จิตเคลื่อนที่สติมันไม่มีได้อย่างไร? ของมันขยับตัว สติมันเป็นอัตโนมัติกับจิตดวงนั้น เห็นไหม มันจะไม่มีวันเผลอเด็ดขาด พระโสดาบันตายก็ไม่เผลอ ไม่เผลอเพราะอะไร?

เพราะพระโสดาบัน ดูนางวิสาขานะ นี่หลานตาย หลานเป็นคนที่ทำงานแทน พอหลานตายขึ้นมาเสียใจมาก ร้องไห้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“วิสาขาเธอเป็นอะไร?”

“ก็หลานตาย หลานตายนี่เสียใจมาก”

“แล้วถ้าโลกนี้ คนที่เขาตายทุกวันนี้เป็นหลานของเธอหมด เธอจะไม่ร้องไห้ทั้งวันเลยหรือ?”

สติฟื้นเลย กลับมาหยุดนิ่งเลย เห็นไหม พระโสดาบันมีความเผลอสติบ้าง นี่ขนาดว่าหลานตายนะ แต่ถ้าตัวเองตาย จิตมันจะออกจากร่างมันจะสะเทือนหัวใจ

สติมาพร้อม ถ้าสติไม่มาพร้อมนะ พระโสดาบันนี่ ๗ ชาติ คำว่าไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดในวัฏฏะ จะเกิดในอีก ๗ ชาติ เพราะสติมันมีกระบวนการการตาย กระบวนการการตายมันไม่ไปตามแรงเหวี่ยงของวัฏฏะ แรงเหวี่ยงของกรรม มันตายแบบพระอริยบุคคล พระโสดาบันตาย พระสกิทาคามีตาย พระอรหันต์ตาย

พระอนาคามีตายอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ตายนี่ครบกระบวนการมันจะจบหมด พอมันจบหมด มันรู้ทันจิตหมดมันจะไปไหน? นี่เห็นไหม สิ่งที่เราทำของเรา

“ขอให้มีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด”

ถ้าใจเรามีธรรมะเป็นที่พึ่งนะ โลกเขาบอกว่าการเกิดการตายนี่ทางการแพทย์พิสูจน์ได้ ชีพจรไม่มี หัวใจหยุดเต้นนี่คือการตาย แต่ถ้าเป็นจิตนะ กระบวนการตายนี่จิตมันตายตรงไหน? จิตมันเคลื่อนที่ ไม่มีอะไรตาย สถานะหนึ่งไปสู่สถานะหนึ่ง เห็นไหม

ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแล้ว กระบวนการการตายของทางการแพทย์ ตายไม่ได้ตายตามกฎหมาย ตายแล้วนี่ตามกฎหมาย บุคคลทุพพลภาพอย่างหนึ่ง ผู้ตายอย่างหนึ่ง แต่จิตมันไม่เคยตาย แต่เราไม่รู้ เราไม่เห็น แต่ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย มันรู้ มันเห็น เห็นไหม

นี่ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่มีการเกิดอีก ความทุกข์มันจะอยู่บนอะไร? ความทุกข์อาศัยอะไรเป็นที่อยู่ มารจะอาศัยอะไรเป็นที่อยู่ มันหาที่อยู่ไม่ได้ หัวใจเรามันอยู่ไม่ได้ หัวใจเราก็ปลอดโปร่ง หัวใจเราก็มีความสุขจริง วิมุตติสุข เอวัง